
...(ค่อยๆคลานเข่าเข้ามาอย่างนอบน้อม)
สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน ผมเองครับ ผมเอง
บอกได้แค่ว่าข้าน้อยสมควรตายที่มาเปิดคอลัมน์ทิ้งไว้ แล้วปล่อยให้ฝุ่นเขรอะหยากไย่เยอะเต็มหน้าไปหมด ไม่มาปัดกวาดซักที
ของแบบนี้ เรื่องมันยาวครับ ไล่ตั้งแต่การติดต่อกับบก.ทัช กว่าจะนึกคอนเซ็ปต์ออก กว่าจะบิลด์อารมณ์สำเร็จ ฯลฯ อีกสารพัดจะแก้ตัว
ตามความตั้งใจ Loud & Nasty จะว่ากันตามใจคนเขียนล้วนๆ โดยเน้นไปที่สลีซร็อคหรือแกลม เมทัลเป็นหลัก
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงอาการรถไฟชนกันกับ Old School ของรุ่นใหญ่ ที่ตั้งร้านอยู่ไม่ห่างกันออกไปนัก L&N จะเลือกเจาะวงที่รับอิทธิพลมาจากยุค 80s แต่ไม่ได้มาจากยุค 80s แทน
ทางฝั่งอเมริกันอาจยังไม่บูมเท่าไหร่ แต่ทางฝั่งยุโรป โดยเฉพาะสแกนดิเนเวียนั้น วงสไตล์นี้มีให้เลือกฟังกันพอประทังชีวิตไปได้อีกนาน
และเพื่อไม่ให้เป็นการหลุดจากที่เกริ่นไว้ในย่อหน้าข้างต้น
บทแรกของ Loud & Nasty ถึงขอเริ่มต้นด้วยสวีดิชสลีซวงนี้ครับ...Vains of Jenna
หลายคนอาจรู้จักวงนี้ดีอยู่แล้ว หลายคนอาจเคยได้ยินเพลง หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ
แต่อีกหลายอาจกระทั่งไม่รู้จักว่าพวกนี้เป็นใคร
ไม่แปลกครับ เพราะแม้ VOJ จะมีโอกาสออกผลงานกับ Universal สังกัดเมเจอร์เมื่อหลายปีก่อน แต่สถานะและชื่อเสียงของวง ก็ยังเป็นที่รู้จักในแวดวงแคบๆ
เพราะดนตรี "หลงยุค" แบบนี้ ไม่เป็นที่นิยมในวงกว้างอีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ถึงกับล้มหายตายจากหรือสูญพันธุ์ไปซะทีเดียว
ก็แค่กลับสู่วงจรเดิมในรูปแบบของอันเดอร์กราวนด์เท่านั้น
สำหรับคนที่ไม่รู้จัก เห็นเสื้อผ้าหน้าผมจากรูป คงเดาออกได้ในระดับหนึ่ง
มือกลองแทบจะถอดแบบมาจาก Steven Adler มือกีตาร์เหมือนเป็นคู่แฝดของ Duff Mckagen และนักร้องนำโพกหัวด้วย bandana แบบ Axl Rose...
จุดเริ่มต้นของ VOJ มาจาก Lizzy Devine (ร้องนำ/กีตาร์) กับ JP White (เบส)สองนักดนตรีวัยรุ่นจาก Falkenberg เมืองเล็กๆในสวีเดน สมทบด้วย Jacki Stone (กลอง)น้องชายของ JP และ Nicki Kin (กีตาร์)เพื่อนร่วมชั้นที่เล่นดนตรีกับ Jacki มาตั้งแต่ช้ันประถม

Vains of Jenna 1st Line-up (จากซ้ายไปขวาตามเข็มนาฬิกา) Jacki Stone, Nicki Kin, Lizzy Devine และ JP White
ที่มาของชื่อ VOJ นั้น Lizzy อธิบายว่าเป็นการเชื่อมโยงถึงชีวิตในแบบ sex, drugs and rock n' roll
แต่ด้วยความที่แต่ละคนภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง แทนที่จะใช้คำว่า Veins ที่หมายถึงเส้นเลือดดำ กลับเป็น Vains ที่ไม่มีความหมายตามพจนานุกรมแทน (หมายเหตุ: vain ที่แปลว่าไม่มีแก่นสาร เป็น adj. ถึงเติม s ไม่ได้)
ในเวลาไม่กี่เดือนหลังจาก VOJ เป็นรูปเป็นร่าง ทางวงก็ถูกทาบทามให้ข้ามน้ำข้ามทะเลจากสวีเดนไปสหรัฐฯ เพื่อเล่นในคลับระดับตำนานของฮอลลีวู้ด “Whisky-A-Go-Go”
ทริปไปสหรัฐฯคราวนั้น ทั้งสี่ได้สัมผัสประการณ์ "ครั้งหนึ่งในชีวิต" ถึงสองเรื่อง
หนึ่งคือการแสดงที่ The Whiskey ทำให้ทางวงมีโอกาสได้รู้จักกับ Stevie Rachelle ที่กลายเป็นผู้จัดการวงในเวลาต่อมา และมีส่วนผลักดันให้ทั้งสี่ได้เข้าร่วมในเทศกาล Cruefest ของ Motley Crue
ในบทสัมภาษณ์ Lizzy เอ่ยถึงเรื่องนี้ว่าเป็นประสบการณ์ที่จำได้แม่นยำ เพราะด้วยความที่เป็นวงโนเนม ไม่มีใครรู้จัก การขึ้นเวทีตอนบ่ายสี่โมงหนนั้น ถึงมีคนสนใจมาดูแค่ 25 คน...
เรื่องถัดมาคือการได้ทำเดโมร่วมกับ Gilby Clarke อดีตมือกีตาร์ Guns N’ Roses (ผลงานในช่วงนี้ถูกรวมไว้ในซีดี The Demos ของวงในเวลาต่อมาด้วย)ผ่านการช่วยเหลือจาก Rachelle อีกเช่นเคย

ปกซีดีชุด The Demos ที่มีเครดิตของ Gilby Clarke รวมอยู่ด้วย
ทั้งสองเหตุการณ์ มีส่วนหนุนให้สมาชิกในวงเกิดความมุ่งมั่นมากขึ้น และหลังจากตระเวนทัวร์เพื่อสะสมประสบการณ์แบบต่อเนื่อง จุดพลิกผันสำคัญก็ผ่านเข้ามาอีกครั้ง
VOJ ได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัด Filthy Note ของ Bam Margera นักสเกตบอร์ดระดับตำนาน (หลายคนอาจรู้จักหมอนี่จากบทบาทในซีรีส์ Jackass มากกว่า)
Margera ทั้งลงทุนกำกับมิวสิควิดีโอ No One's Gonna Do It For You ให้ และนำเพลง Enemy in Me ไปรวมไว้ในอัลบั้ม Viva La Bands Vol.2
จนสุดท้าย ก็ช่วยเข็นให้อัลบั้มเต็มชุดแรกของวง Lit Up / Let Down ที่เคยวางตลาดกับ RLS/Raw Noise Records ได้ re-issued ผ่านทาง Filthy Note โดยมี Universal รับหน้าที่จัดจำหน่ายให้

ปกอัลบั้ม Lit Up/Let Down
จากที่เขียนไม่ออก ตอนนี้บินวนหาทางลงไม่เจอไปแทน
เอาเป็นว่าส่งท้ายตอนแรกกันด้วย MV เพลง Enemy in Me ซึ่งกำกับโดย Daryl Rota กันก่อน แล้วคราวหน้ามาว่ากันต่อครับ
No comments:
Post a Comment