Wednesday, 26 May 2010

Vains of Jenna (2)



ท่าจะเบลอได้ที่นะครับสำหรับคนเขียน

หนก่อนนั้น ทำไปได้กับการปิดท้ายด้วย Enemy in Me ทั้งที่เขียนถึง No One's Gonna Do It For You อยู่แท้ๆ

สำคัญกว่านั้น Enemy in Me มันอยู่ในงานชุดที่สองของวงต่างหากกกกกกกกก!!!

Lit Up/Let Down เป็นงานที่มาจากวัตถุดิบในช่วงตั้งไข่ของวง ผนวกกับความร้อนวิชาของสมาชิก ทำให้งานชุดนี้ใช้เวลาในการบันทึกเสียงแค่ราวๆหนึ่งเดือน

ถือว่าเร็วมาก สำหรับวงหน้าใหม่ ที่แต่ละคนไม่เคยมีประสบการณ์ในระดับนี้มาก่อน และไม่มีโปรดิวเซอร์คอยเป็นพี่เลี้ยงให้

งานชิ้นนี้ ถ้าจับไปเปรียบเทียบกับหลายวงที่มีงานออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน (แต่มีความเป็นมืออาชีพกว่า) อย่าง Crashdiet, Gemini Five หรือ Babylon Bombs VOJ น่าจะเป็นรองพอสมควรในเรื่องฝีมือ

แต่จุดด้อยตรงนั้น ก็ทดแทนด้วยจุดเด่นในเรื่องฟีลที่ Lizzy ต้องการให้ออกมาฟังดูดิบๆ ไม่ผ่านการปรุงแต่ง (over-produced) มากเกินไป

เสริมด้วยการแสดงสดที่เมามัน ก็ทำให้ VOJ ถูกจับตาว่าเป็นวงหน้าใหม่ในขณะนั้นที่ "มีของ" อยู่กับตัวไม่น้อย


Ceased Emotions แบบสดๆ ที่ The Key Club เมื่อปี 2006 สมัยเป็นวงเปิดให้ Metal Skool หรือ Steel Panther ในปัจจุบัน

ก่อนจะได้รับการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนขึ้นในงานลำดับถัดมา The Art of Telling Lies...


ปกอัลบั้ม The Art of Telling Lies

งานชุดนี้ได้ Brent Woods อดีตมือกีตาร์ Wildside วงในปลายยุคแกลม เมทั่ลรุ่งเรือง และเคยร่วมงานกับ Vince Neil ในอัลบั้ม Carved in Stone ด้วย มารับหน้าที่โปรดิวซ์ให้ตั้งแต่ในขั้นตอนการทำเดโม

ทั้งประสบการณ์ที่มากขึ้น และการได้ Woods มาช่วยเกลาบางจุด ทำให้ซาวนด์ในอัลบั้มนี้ ลดความดิบไปพอสมควร แต่ที่เพิ่มเข้ามา คือความลงตัวในแบบคลาสสิคร็อค และเมโลดี้ที่ติดหูง่าย

เนื้อหาในหลายเพลงที่มีมุมมองกว้างกว่าเดิม ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่อง sex, drugs, rock & roll เหมือนชุดแรก ทั้งการคัฟเวอร์ Refugee เพลงเก่าของ Tom Petty & The Heartbreakers



หรืองานในแบบออริจินอลที่ทางวงเขียนขึ้นเอง อย่างแทร็คแรก Everybody Loves You When You're Dead รวมถึงไตเติ้ลแทร็ค



ลองเช็กรีวิวอัลบั้มชุดนี้แล้ว ค่อนข้างได้รับการต้อนรับในทางบวกนะครับ ตรงนั้น น่าจะช่วยเสริมสถานะของวงให้มั่นคงขึ้น ก่อนจะเกิดเหตุพลิกผันสำคัญเกิดขึ้นกับทางวง

Lizzy ตัดสินใจลาออกจากวงกะทันหัน เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา...

ไม่ใช่ด้วยเหตุผลยอดนิยมอย่างทัศนคติทางดนตรีที่แตกต่าง เจ้าตัวเพียงให้เหตุผลว่าหมดแรงกระตุ้นที่จะทำงานร่วมกับวงอีก

ระหว่าง Lizzy กับสมาชิกอีกสามคนที่เหลือมีความขัดแย้งกันรึเปล่า ไม่มีข้อสรุปชัดเจน เพราะต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าเป็นการ "จากกันด้วยดี"

แต่ที่ทำให้หลายคนกังขาเล็กน้อย คือสิบวันถัดมา ทางวงก็จัดการเปิดตัวฟรอนท์แมนคนใหม่ทันควัน คือ Jesse Forte อดีตนักร้องนำของ Cast of Kings วงในย่านแอลเอ ที่เคยเล่นเป็นวงเปิดให้ VOJ มาก่อน

พร้อมปรับภาพลักษณ์ของวงจากเดิมชนิดรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

ภาพลักษณ์ใหม่ของ VOJ หลังเปิดตัว Jesse ในฐานะนักร้องนำคนใหม่


"Stella" ผลงานของ Jesse สมัยร่วมงานกับ Cast of Kings

เทียบกับ Lizzy แล้ว Jesse ดูจะเหนือกว่าในเรื่องรูปลักษณ์ (มีบางส่วนชวนให้นึกถึง Brandon Lee) เสียงร้องที่มีความเป็นนักร้องแท้ๆมากกว่า

และอาจรวมถึงทักษะทางดนตรี (ใน bio ระบุว่าเจ้าตัวเคยเข้าเรียนที่ MI ด้วย ขณะที่ Lizzy รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆไม่เคยผ่านเรื่องสถาบันดนตรีมาก่อน)

แต่ก็มีกระแสต่อต้านจากแฟนเพลงบางกลุ่มว่าเสียงของ Jesse ไม่เหมาะกับดนตรีของ VOJ และทำให้อารมณ์แบบดิบๆหายไป

ขณะที่อีกกลุ่ม ก็มีความเห็นในทำนอง The show must go on ต้องยอมรับการตัดสินใจของ Lizzy ขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนทางวงต่อ

ตอนที่จองบัตร VOJ ที่ Barfly ในย่านแคมเดน (คล้ายๆจตุจักรบ้านเรา) เอาไว้ นักร้องนำของวงยังเป็น Lizzy อยู่ ก็ช็อคนิดๆนะครับกับการเปลี่ยนตัวฟรอนท์แมนกะทันหันแบบนี้

แต่เสียตังค์แล้ว ยังไงก็ต้องไปดูใช่มั้ย (HA)

บัตร VOJ ที่ Barfly เมื่อ 4 พ.ค.


Barfly นี่เล็กมากครับ ตัวอาคาร ถ้าเปรียบกับบ้านเราก็อารมณ์ประมาณตึกแถว (ดูจากขนาดแล้วไม่รู้ถึงสองห้องได้รึเปล่า) ด้านล่างเป็นผับแบบอังกฤษ มีอยู่ไม่ถึงสิบโต๊ะ

ส่วนเวทีอยู่บนชั้นสอง คะเนขนาดด้วยสายตาแล้ว จุคนได้ซัก 50-60 ก็ถือว่าหรูแล้ว มีทางเข้าออกแค่ทางเดียว แถมยังต้องเดินขึ้นบันไดแคบๆอีก คือถ้ามีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น เห็นทีจะลำบากอยู่

บริเวณด้านหน้า Barfly

วันนั้น นอกจาก VOJ แล้ว ก็มี special guest อีกสามวง คือ The Mercy House ที่ซาวนด์ออกไปทางโอลด์สคูล เฮฟวี่ เมทัล Falling Red สลีซร็อคเจ้าถิ่น (วงนี้เคยมีสกู๊ป + ถูกเลือกไว้ในซีดีรวมเพลงของ Classic Rock ด้วย) The Crave ที่ติดกลิ่นอีโมและพังก์นิดๆ

เผอิญไม่เคยมีโอกาสได้ดู VOJ ในยุค Lizzy เล่นแบบสดๆมาก่อน (ไม่นับ Youtube) ก็เลยไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง แต่รวมๆแล้ว Jesse (ซึ่งรับหน้าที่ร้องอย่างเดียว ส่วนพาร์ทริธึ่มกีตาร์มีสมาชิกเสริมเล่นให้) ถือว่าทำหน้าที่ได้ดี

Jesse Forte

แถมระหว่างโชว์และตอนปิดท้าย VOJ ยังมีเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการคัฟเวอร์เพลงของ Jimi Hendrix ถึงสองเพลง คือ Red House และ Fire ตรงนี้อาจเป็นสัญญาณบอกทิศทางดนตรีของวงที่อาจเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย

Nicki Kin ในมาดใหม่ที่ดูสะอาดสะอ้านกว่าเก่า

จากนี้ VOJ จะเดินหน้าต่อไปทางไหน ก็คงต้องรอดูกันอีกที

ระหว่างนี้ ทางวงก็ทยอยบันทึกเสียงเพลงใน The Art of Telling Lies ใหม่ ร่วมกับ Jesse โดยวางขายผ่าน iTunes รวมถึง amazon ออกมาแล้วสามเพลงด้วยกัน

หนึ่งในนั้นคือ Everybody Loves You When You're Dead



ส่วนคนที่อยากเก็บงานทั้งสองชุดสมัยที่ยังมี Lizzy เป็นนักร้องนำนั้น Lit Up/Let Down ยังพอหาได้ไม่ยาก ทั้งใน Amazon หรือ eBay

แต่สำหรับ The Art Of Telling Lies ที่อยู่ในสังกัด Raw Noise Records ถ้าไม่ซื้อผ่าน iTunes หรือดิจิทัล ดาวน์โหลด คืออยากได้แบบที่เป็นซีดี ก็อาจต้องลงทุนกันหน่อย ด้วยการซื้อผ่าน Myspace ของวงโดยตรงตามที่อยู่ข้างล่าง ในราคาแผ่นละ 15 เหรียญ (บวกค่าส่งทั่วโลกอีก 17 เหรียญ)

http://blogs.myspace.com/index.cfm?fuseaction=blog.view&friendId=10595146&blogId=505388279

สำหรับเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของวงยังไม่มีนะครับ ฉะนั้น ข่าวสารหลักๆถ้าไม่ add ใน Facebook ของวง ก็คงต้องเข้าไปที่ www.myspace.com/vainsofjenna

โอย เหนื่อย ไม่เคยเขียนอะไรยาวแบบนี้มาก่อน (HA)

ลองฟังแล้วตัดสินใจดูนะครับ ว่ามีจิตศรัทธาพอจะอุดหนุนทางวงรึเปล่า พูดตรงๆ คือหาโหลดจากเว็บอโคจร อย่าง mediafire หรือ megaupload นั้นง่ายแสนง่าย (ชี้โพรงให้กระรอกยังไงชอบกล)

อย่าลืมว่า นักดนตรีพวกนี้ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลเหมือนร็อคสตาร์ในอดีต แต่มีรายได้จากการออกทัวร์ ขาย Merch และซีดี หรือ ดิจิทัล ดาวน์โหลด โดยเฉพาะอย่างหลังที่ราคาไม่แพงเกินยอมรับ

และถ้าทุกคนไม่คิดจะช่วยกันสนับสนุน ต่อให้ฝีมือดีแค่ไหน ซักวันพวกนี้ก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ในที่สุด

ท่องไว้ให้ขึ้นใจครับ สั้นๆ ง่ายๆ

If you like it, buy it

Wednesday, 12 May 2010

Vains of Jenna (part 1)



...(ค่อยๆคลานเข่าเข้ามาอย่างนอบน้อม)

สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน ผมเองครับ ผมเอง

บอกได้แค่ว่าข้าน้อยสมควรตายที่มาเปิดคอลัมน์ทิ้งไว้ แล้วปล่อยให้ฝุ่นเขรอะหยากไย่เยอะเต็มหน้าไปหมด ไม่มาปัดกวาดซักที

ของแบบนี้ เรื่องมันยาวครับ ไล่ตั้งแต่การติดต่อกับบก.ทัช กว่าจะนึกคอนเซ็ปต์ออก กว่าจะบิลด์อารมณ์สำเร็จ ฯลฯ อีกสารพัดจะแก้ตัว

ตามความตั้งใจ Loud & Nasty จะว่ากันตามใจคนเขียนล้วนๆ โดยเน้นไปที่สลีซร็อคหรือแกลม เมทัลเป็นหลัก

แต่เพื่อหลีกเลี่ยงอาการรถไฟชนกันกับ Old School ของรุ่นใหญ่ ที่ตั้งร้านอยู่ไม่ห่างกันออกไปนัก L&N จะเลือกเจาะวงที่รับอิทธิพลมาจากยุค 80s แต่ไม่ได้มาจากยุค 80s แทน

ทางฝั่งอเมริกันอาจยังไม่บูมเท่าไหร่ แต่ทางฝั่งยุโรป โดยเฉพาะสแกนดิเนเวียนั้น วงสไตล์นี้มีให้เลือกฟังกันพอประทังชีวิตไปได้อีกนาน

และเพื่อไม่ให้เป็นการหลุดจากที่เกริ่นไว้ในย่อหน้าข้างต้น

บทแรกของ Loud & Nasty ถึงขอเริ่มต้นด้วยสวีดิชสลีซวงนี้ครับ...Vains of Jenna

หลายคนอาจรู้จักวงนี้ดีอยู่แล้ว หลายคนอาจเคยได้ยินเพลง หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ

แต่อีกหลายอาจกระทั่งไม่รู้จักว่าพวกนี้เป็นใคร

ไม่แปลกครับ เพราะแม้ VOJ จะมีโอกาสออกผลงานกับ Universal สังกัดเมเจอร์เมื่อหลายปีก่อน แต่สถานะและชื่อเสียงของวง ก็ยังเป็นที่รู้จักในแวดวงแคบๆ

เพราะดนตรี "หลงยุค" แบบนี้ ไม่เป็นที่นิยมในวงกว้างอีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ถึงกับล้มหายตายจากหรือสูญพันธุ์ไปซะทีเดียว

ก็แค่กลับสู่วงจรเดิมในรูปแบบของอันเดอร์กราวนด์เท่านั้น

สำหรับคนที่ไม่รู้จัก เห็นเสื้อผ้าหน้าผมจากรูป คงเดาออกได้ในระดับหนึ่ง

มือกลองแทบจะถอดแบบมาจาก Steven Adler มือกีตาร์เหมือนเป็นคู่แฝดของ Duff Mckagen และนักร้องนำโพกหัวด้วย bandana แบบ Axl Rose...

จุดเริ่มต้นของ VOJ มาจาก Lizzy Devine (ร้องนำ/กีตาร์) กับ JP White (เบส)สองนักดนตรีวัยรุ่นจาก Falkenberg เมืองเล็กๆในสวีเดน สมทบด้วย Jacki Stone (กลอง)น้องชายของ JP และ Nicki Kin (กีตาร์)เพื่อนร่วมชั้นที่เล่นดนตรีกับ Jacki มาตั้งแต่ช้ันประถม


Vains of Jenna 1st Line-up (จากซ้ายไปขวาตามเข็มนาฬิกา) Jacki Stone, Nicki Kin, Lizzy Devine และ JP White

ที่มาของชื่อ VOJ นั้น Lizzy อธิบายว่าเป็นการเชื่อมโยงถึงชีวิตในแบบ sex, drugs and rock n' roll

แต่ด้วยความที่แต่ละคนภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง แทนที่จะใช้คำว่า Veins ที่หมายถึงเส้นเลือดดำ กลับเป็น Vains ที่ไม่มีความหมายตามพจนานุกรมแทน (หมายเหตุ: vain ที่แปลว่าไม่มีแก่นสาร เป็น adj. ถึงเติม s ไม่ได้)

ในเวลาไม่กี่เดือนหลังจาก VOJ เป็นรูปเป็นร่าง ทางวงก็ถูกทาบทามให้ข้ามน้ำข้ามทะเลจากสวีเดนไปสหรัฐฯ เพื่อเล่นในคลับระดับตำนานของฮอลลีวู้ด “Whisky-A-Go-Go”

ทริปไปสหรัฐฯคราวนั้น ทั้งสี่ได้สัมผัสประการณ์ "ครั้งหนึ่งในชีวิต" ถึงสองเรื่อง

หนึ่งคือการแสดงที่ The Whiskey ทำให้ทางวงมีโอกาสได้รู้จักกับ Stevie Rachelle ที่กลายเป็นผู้จัดการวงในเวลาต่อมา และมีส่วนผลักดันให้ทั้งสี่ได้เข้าร่วมในเทศกาล Cruefest ของ Motley Crue

ในบทสัมภาษณ์ Lizzy เอ่ยถึงเรื่องนี้ว่าเป็นประสบการณ์ที่จำได้แม่นยำ เพราะด้วยความที่เป็นวงโนเนม ไม่มีใครรู้จัก การขึ้นเวทีตอนบ่ายสี่โมงหนนั้น ถึงมีคนสนใจมาดูแค่ 25 คน...

เรื่องถัดมาคือการได้ทำเดโมร่วมกับ Gilby Clarke อดีตมือกีตาร์ Guns N’ Roses (ผลงานในช่วงนี้ถูกรวมไว้ในซีดี The Demos ของวงในเวลาต่อมาด้วย)ผ่านการช่วยเหลือจาก Rachelle อีกเช่นเคย


ปกซีดีชุด The Demos ที่มีเครดิตของ Gilby Clarke รวมอยู่ด้วย

ทั้งสองเหตุการณ์ มีส่วนหนุนให้สมาชิกในวงเกิดความมุ่งมั่นมากขึ้น และหลังจากตระเวนทัวร์เพื่อสะสมประสบการณ์แบบต่อเนื่อง จุดพลิกผันสำคัญก็ผ่านเข้ามาอีกครั้ง

VOJ ได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัด Filthy Note ของ Bam Margera นักสเกตบอร์ดระดับตำนาน (หลายคนอาจรู้จักหมอนี่จากบทบาทในซีรีส์ Jackass มากกว่า)

Margera ทั้งลงทุนกำกับมิวสิควิดีโอ No One's Gonna Do It For You ให้ และนำเพลง Enemy in Me ไปรวมไว้ในอัลบั้ม Viva La Bands Vol.2

จนสุดท้าย ก็ช่วยเข็นให้อัลบั้มเต็มชุดแรกของวง Lit Up / Let Down ที่เคยวางตลาดกับ RLS/Raw Noise Records ได้ re-issued ผ่านทาง Filthy Note โดยมี Universal รับหน้าที่จัดจำหน่ายให้


ปกอัลบั้ม Lit Up/Let Down

จากที่เขียนไม่ออก ตอนนี้บินวนหาทางลงไม่เจอไปแทน

เอาเป็นว่าส่งท้ายตอนแรกกันด้วย MV เพลง Enemy in Me ซึ่งกำกับโดย Daryl Rota กันก่อน แล้วคราวหน้ามาว่ากันต่อครับ